|
|
|||||||
![]() |
||||||||
|
||||||||
|
||||||||
การประกันภัยความรับผิดของงานตามสัญญา (CONTRACT WORK INSURANCE) ประเภทของงานที่สามารถซื้อความคุ้มครองได้ (Type of Works) กรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดของงานตามสัญญาเป็นกรมธรรม์ที่ถูกพัฒนารูปแบบการรับประกันของกรมธรรม์ ประกันความรับผิดของผู้รับเหมาก่อสร้าง (Contractor’s All Risks Policy)โดยรวมรายละเอียดเงื่อนไข ความคุ้มครองข้อยกเว้นของทั้ง 2กรมธรรม์เข้าด้วยกันกรมธรรม์ประกันความรับผิดของงานตามสัญญา (Contact Work Insurance Policy)นี้คือเป็นกรมธรรม์มาตรฐาน (Standard Policy)ที่ใช้ในประเทศไทย ลักษณะของงานที่สามารถซื้อความคุ้มครอง ภายใต้กรมธรรม์ประกันความรับผิดชอบของงานตามสัญญาพออธิบายเป็นสังเขปได้ดังนี้ 1.งานวิศวกรรมโยธา (Civil and Building Work)ได้แก่งานก่อสร้างถนนงานสร้างเขื่อนงานสร้างฝายน้ำล้น งานสร้างคลองส่งน้ำ งานก่อสร้างอุโมงค์ งานก่อสร้างทางรถไฟงานก่อสร้างอาคารงานก่อสร้างสนามกอล์ฟงานวาง ท่อก๊าซและน้ำมันงานก่อสร้างสะพานฯลฯ 2.งานติดตั้ง (Erection Works) ได้แก่งานติดตั้งระบบไฟฟ้างานติดตั้งระบบประปางานติดตั้งระบบทำความเย็น งานติดตั้งระบบลิฟท์บันไดเลื่อนงานติดตั้งเครื่องจักรฯลฯ ลักษณะความคุ้มครอง (Insuring Coverage) ลักษณะความคุ้มครองของกรมธรรม์จะมีลักษณะความคุ้มครองแบบคุ้มครองความเสี่ยงภัยทุกชนิด (All Risks)และ ลักษณะความสูญเสียหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นในขณะที่กำลังปฏิบัติงานตามสัญญาจะต้องมีสาเหตุมาจากอุบัติเหตุ (Accidental)หรือเหตุการณ์ที่ไม่อาจคาดการณ์ล่วงหน้าได้ (Unforeseen)อาทิเช่น 1.ภัยที่เกิดจากธรรมชาติ (Act of God) ได้แก่ แผ่นดินไหวลมพายุน้ำท่วมแผ่นดินถล่มเป็นต้น 2.ภัยอันเกิดจากการกระทำของมนุษย์ (Human factor)ได้แก่การกระทำโดยเจตนาของคนงานการกลั่นแกล้ง เจตนาร้าย ความเสียหายต่อเนื่องที่เกิดจากการใช้แรงงานไร้ฝีมือไฟไหม้การโจรกรรมความประมาทเลินเล่อของ คนงานการระเบิดทางฟิสิกส์เป็นต้น 3.ภัยที่มีผลกระทบต่อบุคคลที่ 3 (Third party Liability)ในการก่อสร้างผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นโดยตรงหรือ โดยอ้อม แก่บุคคลที่ 3 ไม่ว่าจะเกิดจากความบาดเจ็บหรือเสียชีวิตหรือทรัพย์สินได้รับความเสียหายไม่ว่าการ กระทำนั้น จะเกิดขึ้นจากตัวของผู้เอาประกันเองหรือเกิดจากการกระทำของคนงานของผู้เอาประกันภัยเป็นผู้ก่อให้เกิด ขึ้นซึ่งผลกระทบต่อบุคคลที่ 3ดังกล่าวผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดตามกฏหมาย 4.ภัยอื่น ๆที่นอกเหนือ (Other peril)ถึงแม้ว่าการประกันภัยความรับผิดชอบของงานตามสัญญาในเงื่อนไขแห่ง กรมธรรม์ประกันภัยจะให้ความคุ้มครองแบบ All Risksก็ตามแต่ในเงื่อนไขดังกล่าวยังให้ความคุ้มครองไม่ทั่วถึง ซึ่งผู้เอาประกันภัยจำเป็นจะต้องขยายความคุ้มครองออกไปโดยการออกสลักหลัง (Endorsement)อาทิเช่น 1.Cross Liability Clause. 2.Maintenance period Clause. 3.Strike Riot and Civil Commotion Clause. 4.Escalation Clause. 5.Expediting Clause. 6.Vibration Clause. 7.Existing property Clause. ฯลฯ Clause ต่าง ๆดังกล่าวข้างต้นเป็นเพียงบางส่วนที่ผู้เอาประกันภัยสามารถที่จะขอให้บริษัทประกันภัยขยายความ คุ้มครองได้ รายละเอียดของ Clauseต่างๆจะอธิบายให้ละเอียดในหัวข้อเงื่อนไขพิเศษแห่งกรมธรรม์ ผู้เอาประกันภัย (Insured Name) ในเรื่องของการประกันภัยความรับผิดชอบของงานตามสัญญาผู้เอาประกันภัยในที่นี้หมายถึงนิติบุคคลตั้งแต่ 2ฝ่ายขึ้น ไปได้กระทำนิติกรรมร่วมกัน (Contract)เพื่อให้เกิดเงื่อนไขที่ถือปฏิบัติตามสัญญาว่าจ้างดังนั้นในสัญญาว่าจ้างการ ก่อสร้างใดๆหรือสัญญาว่าจ้างการติดตั้งเครื่องจักรแต่ละโครงการจะมีผู้เกี่ยวข้องกับโครงการมากมายซึ่งบุคคลที่ เกี่ยวข้องในงานตามสัญญาดังกล่าวถือเป็นผู้เอาประกันภัยทั้งสิ้นเช่น 1.เจ้าของโครงการ (Principal) 2.เจ้าของที่ดิน (Landlord) 3.ผู้รับเหมางานตอกเสาเข็ม (Contractor For Pilling Works) 4.ผู้รับเหมางานก่อสร้าง (Main Contractor) 5.ผู้รับเหมางานช่วง (Sub-Contractors) 6.เจ้าของผู้ผลิตสินค้า (Manufacturer) 7.ที่ปรึกษาโครงการ (Consultance Engineer) ฯลฯ ระยะเวลาประกันภัย (Period of Insurance) กรมธรรม์ประกันความรับผิดของงานตามสัญญาเป็นกรมธรรม์ที่กำหนดระยะเวลาโครงการซึ่งอาจจะเป็น 3เดือน, 6 เดือน, 1 ปี, 2 ปีหรืออาจจะยาวนานกว่านั้นดังนั้นในกรมธรรม์ประกันภัยจะกำหนดระยะเวลาตามตารางเวลา (Time Schedule)ซึ่งความคุ้มครองจะเริ่มทันทีที่มีการขนของเข้าสู่สถานที่ก่อสร้างจนกระทั่งการปฏิบัติงานตามสัญญา ได้เสร็จสิ้นลงและเจ้าของโครงการได้ออกใบตรวจรับงาน (Provisional acceptance of the Works)หรือ ผู้ว่าจ้างได้เริ่มใช้สถานที่ (Taking into Use)ดังนั้นทันทีที่มีการส่งมอบงานถือว่ากรมธรรม์ประกันความรับผิด ของงานตามสัญญาสิ้นสุดลง ระยะเวลาการบำรุงรักษา (Maintenance period) หลังจากที่เจ้าของโครงการได้ตรวจรับงานจากผู้รับเหมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วสัญญาบำรุงรักษาของผู้รับเหมาจะเริ่มเกิด ขึ้น ซึ่งโดยทั่ว ๆ ไป กำหนดเงื่อนไขระยะเวลาบำรุงรักษาจะน้อยหรือมากขึ้นอยู่กับประเภทของงานโดยทั่วๆไปจะ กำหนดประมาณ 3เดือน , 6เดือนหรือ 12เดือน ประเภทของระยะเวลาบำรุงรักษากำหนดลักษณะความคุ้มครองเป็น 2ลักษณะคือ 1.Visit Maintenance เป็นการคุ้มครองความสูญเสียหรือความเสียหายใดๆที่เกิดขึ้นในขณะที่ผู้รับเหมาหรือ คนงานของผู้รับเหมาที่ปฏิบัติงานภายใต้ระยะเวลาบำรุงรักษาได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินที่ได้เอาประกันภัย ไว้ภายใต้งานตามสัญญาบริษัทประกันภัยก็จะให้ความคุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้น 2.Extended Maintenance เป็นการคุ้มครองความสูญเสียหรือความเสียหายใดๆที่เกิดขึ้นในขณะที่ผุ้รับเหมา หรือคนงานของผู้รับเหมาที่ปฏิบัติภายใต้ระยะเวลาบำรุงรักษาได้ตรวจพบความเสียหายที่มีอยู่เดิมซึ่งได้เกิดขึ้นก่อน เข้าไปบำรุงรักษาและยังคุ้มครองถึงความเสียหายใหม่ที่เกิดขึ้นในขณะที่เข้าไปบำรุงรักษา ระยะเวลาการทดลอง (Testing period) ในด้านงานติดตั้งเครื่องจักร (Erection Work)กรมธรรม์ประกันความรับผิดของงานตามสัญญา (Contract Work Insurance)จะให้ความคุ้มครองแบบอัตโนมัติถึงการทดลองเครื่องเป็นเวลา 4สัปดาห์นับจากวันที่ติดตั้ง เครื่องจักรเสร็จสิ้นแล้วและการคุ้มครองเกี่ยวกับการทดลองเครื่องกำหนดให้เฉพาะเครื่องจักรใหม่เท่านั้นสำหรับ เครื่องจักรประเภทมือสอง (2nd hand)กรมธรรม์ประกันภัยจะยกเว้นการคุ้มครองเกี่ยวกับการทดลองเครื่อง ประเภทความคุ้มครองเกี่ยวกับการทดลองเครื่องแบ่งเป็น 3ประเภทดังนี้ 1.Cold test 2.Hot test 3.Commissioning สำหรับโรงงานบางประเภทการกำหนดระยะเวลาการทดลองเครื่องไว้ 4 สัปดาห์อาจไม่เพียงพอดังนั้นผู้เอาประกัน ควรที่จะตรวจสอบดูก่อนว่าระยะเวลาการทดลองเครื่องควรกินเวลานานเท่าใด การกำหนดทุนประกันภัย (Sum Insured basis) ในการกำหนดทุนประกันภัยสำหรับงานตามสัญญาจะต้องประกอบด้วยค่าใช้จ่ายต่างๆดังต่อไปนี้ 1.Engineering Cost 2.Cost of goods ex works of suppliers + Cost of Transportation and Insurance + Cost of Custom duties , dues and taxes 3.Cost of Erection or Labour Cost 4.Various other costs , e.g. Commission 5.Total Contract price (1+2+3+4) + Service and equipment of machines supplied or work executed by the principal สืบเนื่องจากระยะเวลาในการก่อสร้างโดยทั่วๆไปจะใช้เวลาที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับขนาดของโครงการซึ่งบางโครงการ อาจกินเวลาหลาย ๆ ปีดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาด้านราคาสินค้าที่เปลี่ยนแปลงไปซึ่งมีผลมาจากสภาพเงินเฟ้อ (Inflation)ซึ่งในสภาพดังกล่าวอาจมีผลทำให้มูลค่างานตามสัญญาเปลี่ยนแปลงไปผู้เอาประกันภัยควรที่จะมีข้อตกลง ล่วงหน้าโดยกำหนดเงื่อนไขการปรับปรุงทุนประกันภัยระหว่างปี (Provisional adjustments of the sum Insured)หรือกำหนดเงื่อนไขพิเศษการเพิ่มทุนประกันภัยแบบอัตโนมัติ (Escalation)ซึ่งอาจจะกำหนดวงเงินไว้ ล่วงหน้าว่าไม่เกินเท่าไรของมูลค่างานตามสัญญาเช่น 10% , 20%เป็นต้น |